ร้าน (กอล์ฟ + มน) พระเครื่อง
www.mon99.99wat.com
(Golf 095-8629621), (มน 090-3569057)
Golf​ (ID​ LINE​:Golf6), (มน ID:090-3569057)

รับเช่า-ให้เช่า จัดหาพระเครื่อง พระบูชา

โดยเฉพาะวัตถุมงคลพ่อแม่ครูบาอาจารย์ และเกจิคณาจารย์ทั่วไป

 
เหรียญรุ่นแรก พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี พ.ศ.๒๔๙๘


  ส่งข้อความ

ชื่อร้านค้า
(กอล์ฟ + มน) พระเครื่อง
โดย
mon37
ประเภทพระเครื่อง
พระเกจิทั่วไป
ชื่อพระ
เหรียญรุ่นแรก พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี พ.ศ.๒๔๙๘
รายละเอียด
เหรียญรุ่นแรก พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี พ.ศ.๒๔๙๘

ปล:(แต่ก่อน หาเหรียญปู่สวยๆส่งไปทาง(กทม)
ซะเยอะ ตัวเองจะหาสวยๆเก็บยังลำบากเลยทุกวันนี้

รายละเอียด
ในงานทำบุญฉลองอายุครบ 72 ปี (6 รอบ) มีพระคณาจารย์ร่วมอธิษฐานจิต 9 รูป คือ
1.พระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี
2.พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร จ.สกลนคร
3.พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี
4.หลวงปู่บัว วัดป่าหนองแซง จ.อุดรธานี
5.พระอาจารย์จันทร์ เขมปัตโต วัดจันทาราม จ.หนองคาย
6.หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.อุดรธานี
7.พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
8.พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร
9.พระอาจารย์อ่อนสา สุขกาโร วัดประชาชุมพล จ.อุดรธานี

วันนี้วันที่ ๑๑ กรกฎาคมเป็นวันคล้ายวันมรณภาพของพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล) ครบ ๕๖ ปี "พระมหาเถราจารย์ผู้เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ฝ่ายพระกัมมัฏฐาน" องค์ท่านเป็นพระเถราจารย์ศิษย์ผู้ใหญ่หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล และหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านผู้ทำคุณประโยชน์ทางพระพุทธศาสนาไว้มากมาย เป็นพระอุปัชฌายาจารย์ของพระอริยะเจ้าหลายๆ รูป จึงขอน้อมนำชีวประวัติและปฏิปทาหลวงปู่จูม เพื่อน้อมมาเป็นสังฆานุสติและมรณานุสติครับ

"ความรัก ความชัง เป็นปฏิปักษ์ต่อธรรม" โอวาทธรรมคำสอนของท่านพระธรรมเจดีย์(หลวงปู่จูม พันธุโล)

ชีวประวัติ และ ปฏิปทาพระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ มีนามเดิมว่า จูม จันทรวงศ์ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๑ ตรงกับวันขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีชวด สัมฤทธิศก จุลศักราช ๒๔๕๐ เป็นบุตรคนที่ ๓ (ในจำนวน ๙ คน) ของนายคำสิงห์ และนางเขียว จันทวงศ์ มีอาชีพทำนาทำไร่ ชาติภูมิอยู่บ้านท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

เด็กชายจูม จันทวงศ์ เป็นผู้มีอุปนิสัยดี สนใจในการทำบุญทำกุศลตั้งแต่เป็นเด็ก ชอบติดตามบิดามารดาหรือคุณตาคุณยายไปวัด ได้มีโอกาสพบเห็นพระสงฆ์เป็นประจำ เมื่ออายุครบเกณฑ์เข้าเรียนหนังสือ ก็ไปเข้าโรงเรียนวัดศรีเทพประดิษฐาราม อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม จนจบหลักสูตรประถมศึกษาบริบูรณ์ในสมัยนั้น

ชีวิตสมณะ การแสวงหาธรรมและปฏิปทา
ต่อมาเมื่อเด็กชายจูม จันทวงศ์อายุได้ ๑๒ ปี บิดามารดาประสงค์จะให้ลูกชายได้บวชเรียนในพุทธศาสนา จึงได้จัดการให้เด็กชายจูมได้บรรพชาเป็นสามเณร ในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๑๔๔๒ ตรงกับวันอาทิตย์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๑ (เดือนอ้าย) ปีกุน โดยมีพระครูขันธ์ ขนฺติโก วัดโพนแก้ว ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูเหลา วัดโพนแก้ว เป็นพระอาจารย์ผู้ให้ไตรสรณคมน์และศีล ท่านพระครูสีดา วัดโพนแก้วเป็นพระอาจารย์ผู้ให้โอวาทและอบรมสั่งสอนความรู้ทางหลักธรรม เมื่อบวชเป็นสามเณรแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษา ณ วัดโพนแก้ว และได้ศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรม รวมทั้งระเบียบปฏิบัติขนบธรรมเนียมประเพณีของวัดโพนแก้วเป็นเวลา ๓ ปี

การศึกษาเล่าเรียนของพระสงฆ์ในสมัยนั้นเป็นการเรียนอักษรสมัย คือ อักษรขอม อักษรธรรม และภาษาไทย สามเณรจูม จันทรวงศ์ มีความสนใจในการศึกษาเล่าเรียนสามารถเขียนอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว มีสติปัญญาเฉียบแหลม จนเป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ นอกจากนี้ท่านยังได้ฝึกหัดเทศน์มหาชาติ (เวสสันดรชาดก) เป็นทำนองภาคอีสาน ปรากฏว่า เป็นที่นิยมชมชอบของบรรดาญาติโยมทั้งบ้านใกล้และบ้านไกล

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๕ สามเณรจูมจันทรวงศ์ ได้ย้ายไปอยู่วัดอินทร์แปลง ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ และจะได้เป็นปัจจัยสำคัญในการศึกษาหลักธรรมชั้นสูงสืบต่อไป แต่ท่านก็อยู่จำพรรษาที่วัดอินทร์แปลงได้เพียงปีเดียว

ในปีพ.ศ.๒๔๔๖ ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ซึ่งต่อมาเป็น "พระเทพสิทธาจารย์" และเป็นพระอาจารย์ของสามเณรจูม ท่านมีจิตใจมุ่งมั่นที่จะบำเพ็ญสมณธรรมตามหลักของไตรสิกขาและมีความสนใจเรื่องการปฏิบัติกรรมฐานเป็นพิเศษ ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย จึงปรารภกับหมู่คณะและสานุศิษย์ว่า จะเดินทางไปกราบขออุบายธรรมปฏิบัติจากพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายสมถกรรมฐาน คือ พระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ดังนั้น สามเณรจูมและหมู่คณะจึงได้ติดตามพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย เดินทางออกจากจังหวัดนครพนม มุ่งสู่จังหวัดอุบลราชธานี

คณะพระอาจารย์จันทร์และลูกศิษย์ออกเดินทางรอนแรมไปตามป่าดงพงไพร พักไปเรื่อยๆเมื่อผ่านหมู่บ้าน เนื่องจากการเดินทางในสมัยนั้นยากลำบากเต็มทน นอกจากต้องเดินทางด้วยเท้าเปล่าแล้ว ยังต้องผ่านป่าดงหนาทึบ และบางตอนเป็นภูเขาสูงชัน บางตอนเป็นหุบเหวลึก ต้องหาทางหลีกเลี่ยงวกไปวนมา จึงทำให้การเดินทางล่าช้า เมื่อไปถึงจังหวัดอุบลราชธานี พระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ได้นำคณะศิษย์เข้ากราบนมัสการพระอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ณ สำนักวัดเลียบ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี และได้ฝากถวายตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติและแนวกรรมฐาน

ตลอดเวลา ๓ ปีที่อยู่จำพรรษา ณ วัดเลียบ จังหวัดอุบลฯ สามเณรจูม จันทรวงศ์ ได้รับการอบรมสั่งสอนจากพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสองท่านเป็นอย่างดี จนมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องวัตรปฏิบัติและแนวทางการเจริญกรรมฐานเป็นที่น่าพอใจ เพราะอาศัยเมตตาจิตและโอวาทนุสาสนีจากพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสอง จึงทำให้อุปนิสัยของสามเณรจูมยึดมั่นในพระธรรมวินัยประพฤติดีปฏิบัติชอบ สร้างสมบารมีเรื่อยมาจนได้เป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นปูชนียบุคคลของชาวอีสานในกาลต่อมา

ภายหลังจากที่ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกรรมฐานกับพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่นเป็นเวลา ๓ ปีแล้ว ในปีพ.ศ.๒๔๔๙ ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย (พระเทพสิทธาจารย์) จึงได้กราบลาพระอาจารย์ใหญ่ทั้งสอง พาคณะพระภิกษุและสามเณรเดินทางกลับจังหวัดนครพนมอันเป็นถิ่นมาตุภูมิ ในการเดินทางกลับนั้นก็มีความยากลำบากเหมือนกับตอนเดินทางมา คือต้องเดินทางด้วยเท้า ไม่มียานพาหนะใดๆ ถนนก็ยังไม่มี คงมีแต่หนทางและทางเกวียนที่ลัดเลาะไปตามป่าตามดง เมื่อผ่านหมู่บ้านก็ปักกลดพักแรมเป็นระยะๆ หมู่บ้านละ ๒ คืนบ้าง ๓ คืนบ้าง ชาวบ้านรู้ข่าวก็พากันมาฟังธรรม โดยท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย เป็นผู้แสดงธรรมโปรดญาติโยมทุกหมู่บ้านที่ผ่านเข้าไป ประชาชนเกิดศรัทธาปสาทะเป็นอย่างยิ่ง บางแห่งถึงกับนิมนต์คณะของพระอาจารย์จันทร์ให้พักอยู่หลายๆวันก็มี

ครั้นถึงวันที่ ๘ เดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๔๙ ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะเมีย เป็นวันมหาฤกษ์ ที่คณะพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตติกนิกาย เดินทางเข้าเขตจังหวัดนครพนมถึงบ้านหนองขุนจันทร์ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองนครพนม จึงหยุดพักอยู่ที่นั่นก่อน พระยาสุนทรกิจจารักษ์ เจ้าเมืองนครพนมได้ทราบข่าวว่ามีพระผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่น เดินทางมาถึงบ้านหนองขุนจันทร์ก็เกิดความชื่นชมยินดีเป็นอันมาก จึงสั่งให้ข้าราชการทุกแผนกประกาศให้ประชาชนทราบ และจัดขบวนออกไปต้อนรับโดยมีเครื่องประโคมต่างๆ มีฆ้อง กลอง ปี่พาทย์ เป็นต้น เมื่อไปถึง ท่านเจ้าเมืองก็เข้ากราบนมัสการพระสงฆ์เหล่านั้น และนิมนต์ให้ขึ้นนั่งบนเสลี่ยงซึ่งมีชายฉกรรจ์แข็งแรง ๔ คนหามแห่เข้าสู่เมืองนครพนมจนถึงวัดศรีขุนเมือง (ต่อมาเป็นวัดศรีเทพประดิษฐาราม) คณะสงฆ์ลูกศิษย์ของพระอาจารย์เสาร์และพระอาจารย์มั่นก็ได้ปักหลักตั้งสำนักสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตติกนิกายอยู่ ณ อารามแห่งนี้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมาในปีพ.ศ.๒๔๕๐ ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย (พระเทพสิทธาจารย์) ได้พิจารณาเห็นว่า ลูกศิษย์ทั้ง ๗ คนของท่านคือ สามเณรจูม จันทรวงศ์ สามเณรสังข์ สามเณรเกต สามเณรคำ นายสาร นายสอน และนายอินทร์ ทั้งหมดนี้เป็นผู้มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ สมควรจะทำการอุปสมบทได้แล้ว ท่านพระอาจารย์จันทร์จึงจัดเตรียมบริขารเครื่องใช้ที่จำเป็นแก่ศิษย์ แล้วพาคณะศิษย์ทั้ง ๗ คน เดินทางจากเมืองนครพนมไปยังเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เพื่อเข้ารับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุสืบต่อไป

ในการเดินทางครั้งนั้น ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ได้เล่าไว้ว่า "เดินทางด้วยเท้าเปล่าจากเมืองนครพนมถึงหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี เป็นเวลา ๑๕ วันเต็มๆ ไปถึงแล้วก็พักผ่อนกันพอสมควร วันอุปสมบทคือวันที่ ๙ เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๔๕๐ ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะแม ณ พัทธสีมาวัดมหาชัย ตำบลหนองบัวลำภู อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดอุดรธานี โดยมีท่านพระครูแสง ธมฺมธโร วัดมหาชัย เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านพระครูสีมา สีลสมฺปนฺโน วันจันทาราม (เมืองเก่า) อำเภอเวียง จังหวัดขอนแก่นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย (พระเทพสิทธาจารย์) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พนฺธฺโล" การอุปสมบทเสร็จสิ้นเมื่อเวลา ๑๗.๑๐ น."

หลังจากที่พระภิกษุจูม พนฺธุโล ได้อุปสมบทเรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ก็ได้นำคณะพระนวกะที่เป็นลูกศิษย์เดินทางกลับจังหวัดนครพนมโดยผ่านเมืองอุดรธานี มุ่งสู่จังหวัดหนองคาย ลงเรือชะล่า ซึ่งพระยาสุนทรเทพสัจจารักษ์ เจ้าเมืองนครพนม จัดให้มารับที่จังหวัดหนองคาย ล่องเรือไปตามแม่น้ำโขงเป็นเวลา ๑๒ วันเต็มๆก็ถึงนครพนม จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม (วัดศรีขุนเมือง) ๑ พรรษา

ในปีพ.ศ.๒๔๕๑ พระภิกษุสามเณรจำนวน ๕ รูป ได้แก่ ๑.พระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ๒.พระภิกษุจูม พนฺธโล ๓.พระภิกษุสาร สุเมโธ ๔.สามเณรจันทร์ มุตตะเวส และ ๕.สามเณรทัศน์ ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ให้มีความรู้ทางด้านนักธรรมและบาลีให้ดียิ่งขึ้น การเดินทางเข้ากรุงเทพฯในสมัยนั้นเต็มไปด้วยความลำบาก อาศัยพ่อค้าหมูเป็นผู้นำทาง ผ่านจังหวัดสกลนครขึ้นเขาภูพาน และต้องนอนค้างคืนบนสันเขาภูพานถึง ๒ คืน ผ่านจังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น อำเภอชนบท และหมู่บ้านต่างๆ จนถึงจังหวัดนครราชสีมา ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น ๒๔ วัน เมื่อเดินทางถึงนครราชสีมาก็ได้โดยสารรถไฟต่อเข้ากรุงเทพฯ เพราะในสมัยนั้นทางรถไฟมาถึงแค่โคราช ถึงกรุงเทพฯแล้วได้ไปพักอยู่วัดเทพศิรินทราวาสซึ่งมีพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระสาสนโสภณเป็นเจ้าอาวาส ท่านพระอาจารย์จันทร์ เขมิโย ได้นำคณะเข้ากราบเรียน โดยนำจดหมายฝากจากพระยาสุนทรเทพกิจจารักษ์เจ้าเมืองนครพนมเข้าถวาย ท่านเจ้าคุณพระสาสนโสภณทราบเจตจำนงแล้ว ก็ได้รับพระภิกษุสามเณรทั้ง ๕ รูปให้อยู่จำพรรษาที่วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมสืบต่อไป

พระภิกษุจูม พนฺธุโล ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมทั้งแผนกนักธรรมและบาลี ณ สำนักวัดเทพศิรินทราวาสเป็นเวลาหลายพรรษา พระภิกษุจูมได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนด้วยวิริยะและอุตสาหะ แม้จะทุกข์ยากลำบาก ก็อดทนต่อสู้เพื่อความรู้ความก้าวหน้า ในที่สุดท่านก็สามารถสอบไล่ได้นักธรรมชั้นตรีและชั้นโท ต่อมาก็เรียนบาลีไวยากรณ์และแปลธรรมบท สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๓ประโยค จากความสำเร็จทางการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมนี้ พระมหาจูม พนฺธุโล จึงได้รับแต่งตั้งเป็นพระครูฐานานุกรมที่ "พระครูสังฆวุฒิกร" ซึ่งเป็นฐานานุกรมของพระสาสนโสภณ (เจริญ ญาณวีโร)
ในปีพ.ศ.๒๔๔๘ ปีมะเส็ง เป็นปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ พระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ (โพธิ เนตติโพธิ์) มีศักดิ์เป็นมหาอำมาตย์ตรี ซึ่งเป็นสมุหเทศาภิบาล มณฑลอุดรธานี ได้จัดสร้างวัดขึ้นอีกแห่งหนึ่ง (นอกเหนือไปจากวัดมัชฌิมาวาส) ได้นิมนต์พระครูธรรมวินยานุยุต เจ้าคณะเมืองอุดรธานี จากวัดมัชฌิมาวาสเป็นเจ้าอาวาสวัดที่สร้างใหม่นี้ ต่อมาพระยาศรีสุริยราชวรานุวัติได้เข้ากราบทูลขอชื่อวัดใหม่ต่อพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า พระองค์ทรงประทานนามว่า "วัดโพธิสมภรณ์" ให้เป็นอนุสรณ์แด่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ (โพธิ เนตติโพธิ์) ผู้ก่อตั้งจำเดิมแต่นั้นเป็นต้นมา

ต่อมาปีพ.ศ.๒๔๕๖ พระยาราชานุกูลวิบูลย์ภักดี (อวบ เปาโรหิตย์) ดำรงตำแหน่งอุปราชมณฑลภาคอีสานและเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดรธานี ภายหลังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยามุขมนตรีศรีสมุหพระนครบาล ได้พิจารณาเห็นว่า ภายในเขตเทศบาลอุดรธานียังไม่มีวัดฝ่ายธรรมยุตติกนิกาย สมควรจะจัดให้วัดโพธิสมภรณ์เป็นวัดคณะธรรมยุต และในขณะเดียวกันก็ขาดพระภิกษุผู้จะมาเป็นเจ้าอาวาส เนื่องจากเจ้าอาวาสองค์ก่อน (คือพระครูธรรมวินยานุยุต) ชราภาพมากและญาติโยมได้นิมนต์ให้กลับไปอยู่บ้านเกิดเมืองนอนของท่านคือ วัดศรีเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย ท่านพระยามุขมนตรีฯ (อวบ เปาโรหิตย์) จึงไปปรึกษาหารือกับพระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ และได้นำความขึ้นกราบทูล พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิธฯเพื่อขอพระเปรียญธรรม ๑ รูปจากวัดเทพศิรินทราวาสไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์

ท่านเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสโดยบัญชาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ได้คัดเลือกพระเปรียญธรรมผู้มีความรู้ความสามารถผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาและจริยา และมีภูมิลำเนาอยู่ภาคอีสาน ปรากฏว่าพระครูสังฆวุฒิกร (จูม พนฺธุโล น.ธ.โท, ป.ธ. ๓) ได้รับการคัดเลือก นับว่าเป็นผู้เหมาะสมที่สุดและเป็นที่พอใจของพระยามุขมนตรีฯอีกด้วย เพราะท่านพระยาฯมีความสนิทคุ้นเคยและเคยเป็นผู้อุปถัมภ์บำรุงพระครูสังฆวุฒิกร (จูม) มาก่อน

พระครูสังฆวุฒิกร (จูม พนฺธโล) อยู่จำพรรษาที่วัดเทพศิรินทราวาสเป็นเวลานานถึง ๑๕ ปี เมื่อได้รับพระบัญชาจากสมเด็จพระสังฆราชเจ้าและพระสาสนโสภณเช่นนั้น ก็มีความตั้งใจที่จะสนองพระเดชพระคุณอย่างเต็มที่ จึงอำลาวัดเทพศิรินทราวาสที่ท่านอยู่จำพรรษามานานถึง ๑๕ ปี เดินทางสู่จังหวัดอุดรธานี ไปเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ อันเป็นวัดของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๖๖ เป็นต้นมา เมื่อดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสในฐานะนักปกครองเป็นครั้งแรก พระครูสังฆาวุฒิกร (จูม พนฺธโล) ก็ได้เร่งพัฒนาวัดโพธิสมภรณ์ให้เจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านศาสนสถาน ศาสนศึกษา ศาสนบุคคล และศาสนธรรม

พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) มีปฏิปทาอันน่าเลื่อมใสและควรยึดถือเป็นแบบอย่างเป็นเอนกประการ ท่านได้อุทิศตนเพื่อทำงานเผยแผ่หลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยมิได้เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ภาระหน้าที่หลักที่ท่านถือเป็นธุระสำคัญมี ๔ อย่างด้วยกันคือ (๑) การปกครอง (๒) การศึกษา (๓) การเผยแผ่ (๔) การสาธารณูปการ

ด้านการปกครองนั้น ท่านถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการเป็นผู้นำ จะเห็นได้จากที่ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์เป็นเวลา ๓๙ ปี เป็นพระอุปัชฌาย์ ๓๙ ปี เป็นผู้รักษาการเจ้าคณะมณฑลอุดรธานี ๓ ปี เป็นเจ้าคณะมณฑลอุดรธานี ๑๔ ปี เป็นสมาชิกสังฆสภา ๑๗ ปี เป็นเจ้าคณะธรรมยุตผู้ช่วยภาค ๓, ๔ และ ๕ รวม ๑๒ ปี ท่านปกครองพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกาด้วยหลักพรหมวิหารธรรม เป็นพระเถระที่เคร่งครัดในระเบียบวินัย ส่วนทางด้านการศึกษา พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ก็เอาใจใส่และให้การสนับสนุนด้วยดีตลอดมา ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าท่านได้รับการฝึกอบรมสั่งสอนมาจากสำนักเรียนวัดเทพศิรินทราวาส อันเป็นศูนย์กลางการศึกษาวิชาการทางพระพุทธศาสนา ท่านได้ส่งเสริมการศึกษาพระปริยัติธรรมทั้งแผนกนักธรรมและแผนกบาลีและท่านเป็นครูสอนปริยัติด้วยตนเอง นับตั้งแต่สมัยที่ท่านมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ใหม่ๆ จนทำให้วัดของท่านมีชื่อเสียงโด่งดัง มีพระภิกษุสามเณรสอบได้ทั้งนักธรรมและเปรียญธรรมปีละมากๆ

นอกจากการเอาใจใส่ในงานส่วนรวมแล้ว ท่านยังมีปฏิปทาทางด้านวัตรปฏิบัติอันมั่นคงด้วยดีตลอดมา นั่นคือ (๑) ฉันภัตตาหารมื้อเดียว หรือที่เรียกว่า "เอกาสนิกังคะ" (๒) ถือไตรจีวร คือใช้ผ้าเพียง ๓ ผืน (๓) ปฏิบัติสมถกรรมฐาน กำหนดภาวนา "พุทโธ" เป็นอารมณ์ (๔) ปรารภความเพียร ขยันเจริญสมาธิภาวนา และ (๕) เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว ท่านก็ออกตรวจการเดินทางไปเยี่ยมเยียนพระภิกษุสามเณรซึ่งอยู่ในเขตปกครองเป็นลักษณะการไปธุดงค์ตลอดหน้าแล้ง

คุณงามความดีที่พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ได้บำเพ็ญมาด้วยวิริยะอุตสาหะทำให้พระเถระผู้ใหญ่มองเห็นความสำคัญ และความสามารถของท่าน จึงได้ยกย่องเทิดทูนท่านไว้ในตำแหน่งทางสมณศักดิ์ตามลำดับดังนี้
พ.ศ. ๒๔๖๓ เป็นพระครูฐานานุกรมของพระสาสนโสภณ (เจริญ ญาณวโร) ในตำแหน่งพระครูสังฆวุฒิกร
พ.ศ. ๒๔๖๘ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรพัดยศที่พระครูชิโนวาทธำรง
พ.ศ.๒๔๗๐ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระญาณ ดิลก
พ.ศ. ๒๔๗๓ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชที่พระราชเทวี
พ.ศ. ๒๔๗๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่พระเทพกวี
พ.ศ.๒๔๘๘ ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่พระธรรมเจดีย์

ธรรมโอวาท
พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ได้แสดงความจริงในอารมณ์จิตของท่าน และหาวิธีระงับดับอารมณ์นั้น โดยไม่หลงใหลไปกับโลกธรรม อุบายนั้นท่านได้แสดงไว้ว่า "จิตเป็นธรรมชาติที่กวัดแกว่งดิ้นรน กระสับกระส่าย แส่ไปตามอารมณ์ที่ใคร่ พอใจในเบญจกามคุณ ถึงกระนั้นก็ได้มีทมะ คือความข่มจิตไว้ ไม่ให้ยินดียินร้ายไปตามอารมณ์ พร้อมทั้งมีสติประคับประคองยกย่องจิตตามอนุรูปสมัยนับว่าได้ผล คือจิตสงบระงับจากนิวรณูปกิเลสเป็นการชั่วคราวบ้าง เป็นระยะยาวนานบ้าง แต่ในบางโอกาสก็ควบคุมได้ยาก ซึ่งเป็นของธรรมดาสำหรับปุถุชน ต่อจากนั้นก็ได้บากบั่นทำจิตของตนให้รู้เท่าทันสภาวธรรมนั้นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ตื่นเต้นไปกับโลกธรรม แต่ว่าระงับได้ในบางขณะเช่น ความรัก ความชัง อันเป็นปฏิปักขธรรมเป็นต้น เหล่านี้ยังปรากฏมีในตนเสมอถึงกระนั้นก็ยังมีปรีชาทราบอยู่เป็นนิตย์ว่า เป็นโลกิยธรรมนำสัตว์ให้ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงได้ฝึกหัดดัดนิสัยพยายามถอนตนออกจากโลกียธรรมตามความสามารถ รู้สึกว่าสบายกายสบายใจอันแท้จริง ธรรมนี้เกิดจากข้อวัตรปฏิบัติในการละ พอใจยินดีอย่างยิ่งในความสงบ"

และอีกคราวหนึ่งท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์โดยมีพระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งติดตามไปด้วย คือ พระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี วันนั้นท่านได้แสดงธรรมไว้อย่างแยบคาย พอที่จะหยิบยกเอาใจความสำคัญมากล่าวไว้ในที่นี้ดังต่อไปนี้ :-
"จิตของพระอริยะเจ้าแยกอาการได้ ๔ อาการคือ
อาการที่ ๑ อโสก จิตของท่านไม่เศร้าโศก ไม่มีปริเทวนา การร้องไห้เสียใจ จิตใจของท่านมีความสุขล้วนๆ ส่วนจิตใจของปุถุชนคนธรรมดายังหนาไปด้วยกิเลสเต็มไปด้วยความรัก ความโศกถูกความทุกข์ครอบงำ ความโศกย่อมเกิดจากความรักเป็นเหตุ เมื่อมีความรัก ก็มีความโศก ถ้าตัดความรักเสียแล้ว ความโศกจะมีแต่ที่ไหน

อาการที่ ๒ วิรช จิตของพระอริยเจ้าผ่องแผ้ว ปราศจากฝุ่น ไร้ธุลี คือ ปราศจากราคะ โทสะ และโมหะ คงจะมีแต่พุทธะ คือ รู้ ตื่น เบิกบาน

อาการที่ ๓ เขม จิตของพระอริยเจ้ามีแต่ความเกษมสำราญ เพราะปราศจากห้วงน้ำไหลมาท่วงท้นห้วงน้ำใหญ่เรียกว่า "โอฆะ" ไม่อาจจะท่วมจิตของพระอริยะเจ้าได้
อาการที่๔ จิตของพระอริยะไม่หวั่นไหวไปตามอำนาจกิเลส ไม่ตกอยู่ในห้วงแห่งอวิชชา จิตของพระอริยะมีแต่อาโลโก สว่างไสวแจ่มแจ้ง ธรรมทั้งหลายที่ยังไม่เคยพบเคยเห็นตั้งแต่ภพก่อนชาติก่อน แลไม่เคยฟังจากใครคราวนี้ก็แจ่มแจ้งไปเลยเพราะท่านตัดอวิชชาเสียได้"

ปัจฉิมบท
พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์เป็นพระมหาเถระผู้มีบุญบารมีมากรูปหนึ่ง มีคุณธรรมสูง มีวัตรปฏิปทาอันงดงามซึ่งพอที่จะนำมากล่าวได้ดังนี้ ๑. ธีโร เป็นนักปราชญ์ ๒. ปญฺโญฺ มีปัญญาเฉียบแหลม ๓. พหุสฺสุโต เป็นผู้คงแก่เรียน ๔. โธรยฺโห เป็นผู้เอาจริงเอาจังกับธุระทางพุทธศาสนา คือ คันถธุระและวิปัสนาธุระ ๕. สีลวา เป็นผู้มีศีลวัตรอันดีงาม ๖.วตวนฺโต เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธุดงควัตร ๗.อริโย เป็นผู้ห่างไกลจากความชั่ว ๘.สุเมโธ เป็นผู้มีปัญญาดี ๙.ตาทิโส เป็นผู้มั่นคงในพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐.สปฺปุริโส เป็นผู้มีกาย วาจา และใจ อันสงบเยือกเย็น เป็นสัตบุรุษ พุทธสาวก ผู้ควรแก่การกราบไหว้บูชาโดยแท้

ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เริ่มอาพาธมาตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๐๔ จนถึงเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๐๕ คณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราชได้ถวายการรักษาโดยการผ่าตัดก้อนนิ่วออก รักษาจนหายเป็นปกติแล้วเดินทางกลับวัดโพธิสมภรณ์อุดรธานี ต่อมาปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๕ ท่านเริ่มอาพาธอีก คณะแพทย์ซึ่งมีศาสตราจารย์ นพ.อวย เกตุสิงห์ เป็นประธานได้นิมนต์ท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ท่านเดินทางเข้ากรุงเทพฯเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๐๕ โดยมีพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ร่วมเดินทางไปด้วย ศาสตราจารย์ นพ.อวย เกตุสิงห์ ได้ถวายการรักษาด้วยการผ่าตัดถุงน้ำดี มีก้อนนิ่ว ๑๑ เม็ด อาการดีขึ้นเพียง ๓ วัน ต่อจากนั้นอาการก็ทรุดลงต้องให้ออกซิเจนและน้ำเกลือ วันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ก็ถูกเวทนาอันแรงกล้าครอบงำ แต่ท่านมิได้แสดงอาการใดๆให้ปรากฏ จนกระทั่งวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๐๕ พระธรรมเจดีย์ก็ถึงแก่กรรมมรณภาพด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา ๑๕.๒๗ นาฬิกา ณ โรงพยาบาลศิริราช ท่านได้ละสังขารอันไม่มีแก่นสารนี้ไปสิริรวมอายุได้ ๗๔ ปี ๒ เดือน ๑๕ วัน พรรษา ๕๕

_/\_ _/\_ _/\_
ราคา
-
เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ
(099-0409645),(093-4825864) กอล์ฟ
ID LINE
Golf​ (ID​ LINE​:Golf6), (มน ID:090-3569057)
จำนวนการเข้าชม
1,621 ครั้ง
บัญชีธนาคารที่ใช้ยืนยันตัวตน
ธนาคารกรุงเทพ / 125-4-59948-1